วางแผนการซ่อมบำรุงรักษาเชิงป้องกัน PM



PM : Preventive Maintenance คือ การคาดการณ์และป้องกันความเสียหายของอุปกรณ์ในอนาคต เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะทำการตรวจสอบ, บำรุงรักษาและซ่อมแซมอุปกรณ์หรือวัสดุอยู่ตลอดเพื่อให้แน่ใจว่าพวกมันสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งวิธีการนี้ยังช่วยลดการบำรุงรักษาเชิงรับรวมถึงยังมีเวลาเพิ่มในการทำงานด้านอื่นๆอีกด้วย

ตามหลักทั่วไป การป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นล่วงหน้านั้นถือว่าดีกว่าอยู่แล้ว การบำรุงรักษาเชิงป้องกันช่วยลดโอกาสที่จะเกิดปัญหาที่ไม่คาดคิดโดยการส่งเสริมประสิทธิภาพของอุปกรณ์ที่ดีที่สุด รายการต่อไปนี้แสดงถึงวิธีการบางประการที่ทีมดูและทรัพย์สินและฝ่ายซ่อมบำรุงสามารถอยู่เหนือการบำรุงรักษาเชิงป้องกันในแผนกของตนได้

- กำหนดเวลาและดำเนินการตรวจสอบอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ

- ทำการตรวจเช็ค ตู้จ่ายน้ำมัน ถังน้ำมัน เป็นประจำ เพื่อการใช้งานที่ต่อเนื่อง

- การทำงานของตู้จ่าย อัตราการไหล ปริมาตรที่จ่ายออก

- ตรวจเช็คการรั่วซึมของ ถังน้ำมัน ท่อจ่ายน้ำมัน เพื่อป้องกันการสูญหาย และอันตรายที่อาจเกิดขึ้น

- ซ่อมแซมและเปลี่ยนชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่ชำรุด ก่อนการเสียหาย

- ดูแลไส้กรองน้ำมัน เพื่อน้ำมันที่สะอาดอยู่เสมอ

ประโยชน์ของการบำรุงรักษาเชิงป้องกันคืออะไร?

การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance) มีเป้าหมายครอบคลุม 2 ประการ

1. เพื่อยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักร และเพิ่มผลผลิต

2. เพื่อให้ผู้คนและทรัพย์สินปลอดภัยจากอันตรายจากอุปกรณ์ต่าง ๆ  ผู้จัดการฝ่ายซ่อมบำรุงและทีมสามารถใช้หลักการของการบำรุงรักษาเชิงป้องกันเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

- ประหยัดเงินโดยการยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้น

- เพิ่มความปลอดภัยและลดโอกาสบาดเจ็บของพนักงาน

- ลดค่าเสื่อมสภาพที่ไม่จำเป็นของอุปกรณ์ต่างๆลง

- ป้องกันอุปกรณ์หลักพังก่อนเวลาอันควร

- ลดขั้นตอนการตรวจสอบและตรวจจับที่ไม่จำเป็นลง

- พร้อมรับมือและป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

- ลดข้อผิดพลาดในการดำเนินงานประจำวันลง

- ปรับปรุงความน่าเชื่อถือของอุปกรณ์ (Machine Reliability)

ประเภทของการบำรุงรักษาเชิงป้องกันมีอะไรบ้าง? 

การบำรุงรักษาเชิงป้องกันแบ่งออกเป็นการบำรุงรักษาเชิงป้องกันตามระยะเวลา, 

การบำรุงรักษาเชิงป้องกันตามปริมาณการใช้งานหรือทั้ง 2 อย่างรวมกัน

1. การบำรุงรักษาเชิงป้องกันตามระยะเวลา คือการตรวจสอบชิ้นส่วนอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการผลิต ในกรณีที่พบความชำรุดหรือเสียหาย การบำรุงรักษาเชิงป้องกันตามเวลาเหมาะที่สุดสำหรับสินทรัพย์ที่มีขอบเขต (เช่นอุปกรณ์ดับเพลิง / รักษาปลอดภัย) และทรัพย์สินที่สำคัญ (เช่นระบบ HVAC และปั๊มต่างๆ) รวมถึงยังสามารถใช้แนวทางนี้สำหรับสินทรัพย์ใด ๆ ที่ต้องการการบำรุงรักษาเชิงป้องกันได้อีกด้วย

2. การบำรุงรักษาเชิงป้องกันตามปริมาณการใช้งาน คือแนวทางที่ทำให้เกิดการบำรุงรักษาหลังจากมีการใช้งานไปแล้วช่วงเวลาหนึ่ง (เช่นทุกๆ“ X” ของกิโลเมตร, ไมล์, ชั่วโมงหรือรอบการผลิต) การบำรุงรักษาเชิงป้องกันตามปริมาณการใช้งาน จะช่วยให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ยังคงทำงานได้ตามที่ผู้ผลิตต้องการ ไม่เหมือนกับการบำรุงรักษาตามระยะเวลาซึ่งเกิดขึ้นตามกำหนดที่เข้มงวดกว่า วิธีการนี้สามารถใช้ตรวจสอบได้ทุกเดือนหรือทุกหกเดือนก็ได้

ข้อดี – ข้อเสีย ของการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน

ข้อดีของ Preventive Maintenance

- เพิ่มความปลอดภัย การบำรุงรักษาเชิงป้องกันจะเข้าไปตรวจสอบและป้องกันกันความล้มเหลวที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเป็นการป้องกันการบาดเจ็บของพนักงาน ลดความเสี่ยงและความเสียหายจากการฟ้องร้องได้
- อายุการใช้งานของอุปกรณ์ที่เพิ่มมากขึ้น การเข้าไปตรวจสอบเชิงรุก และป้องกันเสียแต่เนิ่นๆ เพื่อแน่ใจว่าเครื่องจักร และอุปกรณ์ยังสามารถทำงานได้อย่างราบลื่นลดโอกาสเสียหายครั้งใหญ่ เพราะถ้าปล่อยให้ชิ้นส่วนที่ล้มเหลวบางชิ้น จะส่งผลต่ออุปกรณ์โดยรวมส่งผลให้ต้องซ่อมแซมหรือเปลี่ยนอะไหล่ที่มีราคาแพง
- เพิ่มผลผลิต สถิติในหลายงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการบำรุงรักษาที่ไม่ดีลดกำลังการผลิตของเครื่องจักรและบริษัทได้ถึง 20% แต่หากคุณบำรุงรักษาเชิงป้องกันอย่างสม่ำเสมอสามารถป้องกันการลดลงของประสิทธิภาพการผลิต ลดเวลาหยุดงานของเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผล
- ต้นทุนลดลง ต้นทุนที่มองเห็น ไม่แพงเท่ากับ ต้นทุนที่มองไม่เห็น อาจะมากกว่าถึงสิบเท่าด้วยกัน ถ้าคุณสามารถหา รากของปัญหา Root Cause ในเครื่องจักรแล้วซ่อมบำรุงหรือรักษาสภาพได้ดี จะช่วยลดการบำรุงรักษาเชิงรับ ลดการหยุดงานของเครื่องจักร Machine Downtime และลดความเสียหายของเครื่องจักรโดยรวม ซึ่งเป็นการลดต้นทุนของบริษัทในที่สุด
 

ข้อเสียของ PM

แม้ว่าข้อดีของการบำรุงรักษาเชิงป้องกันจะมีข้อดีที่ชัดเจน แต่ก็มีข้อจำกัดบางประการที่ต้องพูดถึง

- ข้อจำกัดด้านงบประมาณ ในธุรกิจขนาดเล็กอาจะพบว่าการ เครื่องมือสำหรับบำรุงรักษาเชิงป้องกัน หรือ ซอฟต์แวร์บริหารจัดการมีราคาสูง และ ควรจ้างผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกมาช่วยบริหารจัดการ จึงมีปัญหาด้านงบประมาณได้

- ต้องการทรัพยากรเพิ่ม การบำรุงรักษาเชิงป้องกันให้ประสบความสำเร็จอาจจะต้องใช้พนักงานที่มีความรู้ความเข้าใจ หรือมีประสบการณ์ทำให้อาจจะต้องจ้างบุคลากรเพิ่ม หรือ จ้างผู้เชี่ยวชาญภายนอกเข้ามาช่วยจัดการ

Reactive Maintenance VS Preventive Maintenance แตกต่างกันอย่างไร?

การบริหารจัดการทรัพยากรอาคารนั้นกล่าวได้ว่า การบำรุงรักษาแบบเชิงรับ (Reactive Maintenance)ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ สิ่งของทุกชิ้นสามารถเสียหายได้ทุกเมื่อ อย่างไรก็ตามเราสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้ได้โดยการใช้การบำรุงแบบเชิงรุก และเราจะมาเปรียบเทียบระหว่างการบำรุงรักษาแบบเชิงรุกและเชิงรับกันดังต่อไปนี้

การบำรุงรักษาเชิงรับ : มุ่งเน้นไปที่การวินิจฉัยและแก้ไขปัญหาเมื่อเกิดความเสียหายหรือทำงานผิดปกติแล้ว ช่างซ่อมบำรุงจะระบุปัญหาที่เกิดขึ้นและซ่อมแซมให้กลับมาใช้งานได้ตามปกติ

การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน : มุ่งเน้นไปที่การบำรุงรักษาตามกำหนดอย่างสม่ำเสมอ เป้าหมายของการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน คือ การดูแลอุปกรณ์ต่างๆที่ยังทำงานอยู่ให้ทำงานได้ตามปกติต่อไป วิธีนี้ช่วยลดค่าใช้จ่ายสูงและลดโอกาสการทำงานผิดปกติในอนาคตอีกด้วย

ความเข้าใจผิดทั่วไป คือ การบำรุงรักษาแบบเชิงรับนั้นไม่ดี ความจริงก็คือแผนกที่ดูแลบริหารทรัพยากรหรือฝ่ายซ่อมบำรุงส่วนใหญ่จะมีการบำรุงรักษาเชิงรับและการบำรุงรักษาเชิงป้องกันร่วมกันตลอด เนื่องจากการที่เราจะคาดการณ์และป้องกันการเสียหายของอุปกรณ์และสินทรัพย์ทั้งหมดถือเป็นเรื่องที่ยากน้ำมันมันแพงอยู่แล้ว 

อย่าปล่อยให้ความเสียหายจากการชำรุดของอุปกรณ์มาซ้ำเติมอีกเลย แก้ได้ด้วย การตรวจสอบอุปกรณ์ ด้วยแผน PM กันดีกว่า ทัสพาวเรามีบริการ

Visitors: 909,977